วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพและปรับขนาดข้อมูลใน Firebase Realtime Database คือการแยกข้อมูลในอินสแตนซ์ Realtime Database หลายรายการ หรือที่เรียกว่าการชาร์ดดิ้งฐานข้อมูล ชาร์ดดิ้งมอบความยืดหยุ่นในการปรับขนาดให้เกินขีดจำกัดที่ใช้กับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลแต่ละรายการ นอกเหนือจากการจัดสรรภาระงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
กรณีที่ควรแบ่งข้อมูล
คุณอาจต้องแบ่งข้อมูลในฐานข้อมูลหลายแห่งหากใช้ Realtime Database และอยู่ในสถานการณ์ต่อไปนี้
- คุณต้องการปรับขนาดเกินขีดจำกัดการเชื่อมต่อพร้อมกัน 200,000 รายการ การดำเนินการเขียน 1,000 รายการ/วินาที หรือขีดจำกัดอื่นๆ สำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลเดียว
- คุณมีชุดข้อมูลหลายชุดที่แยกจากกันและต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ (เช่น แอปแชทที่แสดงกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นอิสระและแยกจากกัน)
- คุณควรปรับภาระงานของฐานข้อมูลต่างๆ ให้สมดุลเพื่อปรับปรุงระยะเวลาทำงานและลดความเสี่ยงของภาระงานที่อินสแตนซ์ฐานข้อมูลเดียวทำงานหนักเกินไป
วิธีชาร์ดข้อมูล
ในการชาร์ดข้อมูลของคุณ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ (อธิบายอย่างละเอียดด้านล่าง)
- แมปข้อมูลกับฐานข้อมูลหลายแห่งตามความต้องการเฉพาะของแอป
- สร้างอินสแตนซ์ฐานข้อมูลหลายรายการ
- กำหนดค่าแอปให้เชื่อมต่อกับอินสแตนซ์ Realtime Database ที่จําเป็นสําหรับชุดข้อมูลแต่ละชุด
แมปข้อมูลของคุณ
เมื่อแมปข้อมูลกับฐานข้อมูลหลายแห่ง ให้พยายามทำตามเงื่อนไขต่อไปนี้
- การค้นหาแต่ละรายการจะทํางานกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลรายการเดียวเท่านั้น Realtime Database ไม่รองรับการค้นหาในอินสแตนซ์ฐานข้อมูลต่างๆ
- ไม่มีการแชร์หรือการทำซ้ำข้อมูลในอินสแตนซ์ฐานข้อมูล (หรือการแชร์หรือการทำซ้ำน้อยที่สุด)
- อินสแตนซ์แอปแต่ละรายการจะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลได้เพียง 1 ฐานเท่านั้นในเวลาใดก็ตาม
ลองพิจารณาใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้เมื่อแมปข้อมูล
สร้าง "กลุ่มหลัก"
จัดเก็บแผนที่ของวิธีจัดเก็บข้อมูลในอินสแตนซ์ฐานข้อมูล ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถค้นหาอินสแตนซ์ของฐานข้อมูลที่สอดคล้องกับไคลเอ็นต์ที่เชื่อมต่อได้แบบเป็นโปรแกรม โปรดทราบว่าวิธีนี้อาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเชื่อมต่อกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลที่ต้องการโดยตรงเมื่อจำเป็น
จัดกลุ่มข้อมูลตามหมวดหมู่หรือตามลูกค้า
จัดเก็บข้อมูลในอินสแตนซ์ฐานข้อมูลที่แยกส่วนอยู่ โดยจัดกลุ่มตามผู้ใช้หรือประเภทข้อมูล เช่น หากคุณสร้างแอปพลิเคชันแชทที่ให้บริการแก่หลายองค์กร คุณสามารถสร้างอินสแตนซ์ฐานข้อมูลสำหรับแต่ละองค์กรและจัดเก็บข้อมูลแชททั้งหมดในอินสแตนซ์ฐานข้อมูลที่ซ้ำกัน
ในกรณีนี้ องค์กร ก. และองค์กร ข. ไม่ได้แชร์ข้อมูล ไม่มีข้อมูลที่ซ้ำกันในฐานข้อมูล และคุณทำการค้นหากับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ใช้ในแต่ละองค์กรจะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรก็ต่อเมื่อใช้แอปรับแชทเท่านั้น
จากนั้นคุณก็สร้างอินสแตนซ์ฐานข้อมูลหลายรายการล่วงหน้าได้ และใช้รหัสขององค์กรเพื่อแมปทีมกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น องค์กร ก. จะแมปกับฐานข้อมูลเรียลไทม์ ก.
วิธีแมปข้อมูลสำหรับแอปขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งานของคุณโดยเฉพาะ แต่เงื่อนไขและกลยุทธ์ที่ระบุไว้ข้างต้นจะช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าสิ่งใดใช้ได้ผลกับข้อมูลของคุณ
สร้างอินสแตนซ์ Realtime Database หลายรายการ
หากใช้แพ็กเกจราคา Blaze คุณจะสร้างอินสแตนซ์ฐานข้อมูลได้สูงสุด 1,000 รายการในโปรเจ็กต์ Firebase เดียวกัน
คอนโซล Firebase ที่มีเมนูตามบริบทในส่วนฐานข้อมูล" />
- ในคอนโซล Firebase ให้ไปที่แท็บ Data ในส่วนพัฒนา > ฐานข้อมูล
- เลือกสร้างฐานข้อมูลใหม่จากเมนูในส่วนRealtime Database
- ปรับแต่งข้อมูลอ้างอิงฐานข้อมูลและกฎความปลอดภัย แล้วคลิกรับทราบ
ทำขั้นตอนนี้ซ้ำเพื่อสร้างอินสแตนซ์ฐานข้อมูลได้มากเท่าที่ต้องการ อินสแตนซ์ฐานข้อมูลแต่ละรายการจะมีFirebase Realtime Database Security Rulesชุดของตัวเอง คุณจึงปรับแต่งการเข้าถึงข้อมูลได้
คุณสามารถสร้างและจัดการอินสแตนซ์ฐานข้อมูลได้ในคอนโซล Firebase หรือใช้ Realtime Database Management REST API
แก้ไขและติดตั้งใช้งาน Realtime Database Security Rules สําหรับแต่ละอินสแตนซ์
ตรวจสอบว่า Realtime Database Security Rules อนุญาตให้เข้าถึงอินสแตนซ์ฐานข้อมูลแต่ละรายการในโปรเจ็กต์อย่างเหมาะสม ฐานข้อมูลแต่ละฐานจะมีชุดกฎของตัวเอง ซึ่งคุณสามารถแก้ไขและทำให้ใช้งานได้จากFirebaseคอนโซล หรือใช้ FirebaseCLI เพื่อทำให้เป้าหมายใช้งานได้
หากต้องการแก้ไขและติดตั้งใช้งานกฎจากคอนโซล Firebase ให้ทําตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ไปที่แท็บกฎในส่วนพัฒนา > ฐานข้อมูล
- เลือกฐานข้อมูลที่ต้องการแก้ไข แล้วแก้ไขกฎ
หากต้องการแก้ไขและติดตั้งใช้งานกฎจาก Firebase CLI ให้ทําตามขั้นตอนต่อไปนี้
- แก้ไขกฎในไฟล์กฎสำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูล (เช่น
foo.rules.json
) - สร้างและใช้เป้าหมายการนําไปใช้เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่ใช้สําเนาไฟล์กฎเดียวกัน เช่น
firebase target:apply database main my-db-1 my-db-2
firebase target:apply database other my-other-db-3
อัปเดตไฟล์การกําหนดค่า
firebase.json
โดยใช้เป้าหมายการนําไปใช้งาน ดังนี้{ "database": [ {"target": "main", "rules": "foo.rules.json"}, {"target": "other", "rules": "bar.rules.json"} ] }
เรียกใช้คำสั่งทำให้ใช้งานได้
firebase deploy
- แก้ไขกฎในไฟล์กฎสำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูล (เช่น
โปรดตรวจสอบว่าคุณแก้ไขและปรับใช้กฎจากที่เดียวกันอย่างสม่ำเสมอ การใช้กฎจาก Firebase CLI จะลบล้างการแก้ไขที่คุณทำในคอนโซล Firebase และการแก้ไขกฎในคอนโซล Firebase โดยตรงจะลบล้างการเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่คุณได้ติดตั้งใช้งานผ่าน Firebase CLI
เชื่อมต่อแอปกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลหลายรายการ
ใช้การอ้างอิงฐานข้อมูลเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในอินสแตนซ์ฐานข้อมูลรอง คุณรับข้อมูลอ้างอิงสำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลที่เจาะจงได้จาก URL หรือแอป หากไม่ระบุ URL คุณจะได้รับข้อมูลอ้างอิงสำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลเริ่มต้นของแอป
Web
import { initializeApp } from "firebase/app"; import { getDatabase } from "firebase/database"; const app1 = initializeApp({ databaseURL: "https://testapp-1234-1.firebaseio.com" }); const app2 = initializeApp({ databaseURL: "https://testapp-1234-2.firebaseio.com" }, 'app2'); // Get the default database instance for an app1 const database1 = getDatabase(app1); // Get a database instance for app2 const database2 = getDatabase(app2);
Web
const app1 = firebase.initializeApp({ databaseURL: "https://testapp-1234-1.firebaseio.com" }); const app2 = firebase.initializeApp({ databaseURL: "https://testapp-1234-2.firebaseio.com" }, 'app2'); // Get the default database instance for an app1 var database1 = firebase.database(); // Get a database instance for app2 var database2 = firebase.database(app2);
Swift
// Get the default database instance for an appvar ref: DatabaseReference! ref = Database.database().reference()
Objective-C
// Get the default database instance for an app@property (strong, nonatomic) FIRDatabaseReference *ref; self.ref = [[FIRDatabase database] reference];
Kotlin+KTX
// Get the default database instance for an app val primary = Firebase.database.reference // Get a secondary database instance by URL val secondary = Firebase.database("https://testapp-1234.firebaseio.com").reference
Java
// Get the default database instance for an app DatabaseReference primary = FirebaseDatabase.getInstance() .getReference(); // Get a secondary database instance by URL DatabaseReference secondary = FirebaseDatabase.getInstance("https://testapp-1234.firebaseio.com") .getReference();
ระบุอินสแตนซ์เมื่อใช้ Firebase CLI
ใช้ตัวเลือก --instance
เพื่อระบุ Firebase Realtime Database ที่ต้องการใช้คำสั่ง Firebase CLI เช่น ใช้คําสั่งต่อไปนี้เพื่อเรียกใช้โปรแกรมวิเคราะห์ประสิทธิภาพสําหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลที่ชื่อ my-example-shard.firebaseio.com
firebase database:profile --instance "my-example-shard"
เพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อในแต่ละฐานข้อมูล
หากไคลเอ็นต์แต่ละรายต้องเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลายแห่งในระหว่างเซสชัน คุณสามารถลดจำนวนการเชื่อมต่อพร้อมกันกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลแต่ละรายการได้โดยเชื่อมต่อกับอินสแตนซ์ฐานข้อมูลแต่ละรายการตามที่จำเป็นเท่านั้น
รับคำแนะนำเพิ่มเติม
หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการชาร์มข้อมูลในอินสแตนซ์ฐานข้อมูลหลายรายการ โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญ Firebase ในช่องทาง Slack หรือที่ Stack Overflow