หากหลังจากลงทะเบียนแอปสำหรับ App Check แล้ว คุณต้องการเรียกใช้แอปในสภาพแวดล้อมที่ปกติแล้ว App Check จะไม่จัดประเภทว่าถูกต้อง เช่น โปรแกรมจำลองระหว่างการพัฒนา หรือจากสภาพแวดล้อมการผสานรวมอย่างต่อเนื่อง (CI) คุณสามารถสร้างบิลด์แก้ไขข้อบกพร่องของแอปที่ใช้ผู้ให้บริการแก้ไขข้อบกพร่องของ App Check แทนผู้ให้บริการตรวจสอบสิทธิ์จริง
ใช้ผู้ให้บริการแก้ไขข้อบกพร่องในโปรแกรมจำลอง
หากต้องการใช้ผู้ให้บริการแก้ไขข้อบกพร่องขณะเรียกใช้แอปในโปรแกรมจำลองแบบอินเทอร์แอกทีฟ (เช่น ในระหว่างการพัฒนา) ให้ทำดังนี้
ในไฟล์ Gradle ของโมดูล (ระดับแอป) (โดยทั่วไปจะเป็น
<project>/<app-module>/build.gradle.kts
หรือ<project>/<app-module>/build.gradle
) ให้เพิ่มทรัพยากร Dependency สำหรับไลบรารี App Check สำหรับ Android เราขอแนะนำให้ใช้Firebase Android BoMเพื่อควบคุมการกำหนดเวอร์ชันไลบรารีdependencies { // Import the BoM for the Firebase platform implementation(platform("com.google.firebase:firebase-bom:33.5.1")) // Add the dependencies for the App Check libraries // When using the BoM, you don't specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug") }
การใช้Firebase Android BoMจะทำให้แอปใช้ไลบรารี Firebase Android เวอร์ชันที่เข้ากันได้เสมอ
(วิธีอื่น) เพิ่มไลบรารี Firebase ที่ต้องพึ่งพาโดยไม่ต้องใช้ BoM
หากเลือกไม่ใช้ Firebase BoM คุณต้องระบุเวอร์ชันไลบรารี Firebase แต่ละเวอร์ชันในบรรทัดทรัพยากร Dependency
โปรดทราบว่าหากคุณใช้ไลบรารี Firebase หลายรายการในแอป เราขอแนะนำให้ใช้ BoM เพื่อจัดการเวอร์ชันไลบรารีซึ่งจะดูแลให้ทุกเวอร์ชันทำงานร่วมกันได้
dependencies { // Add the dependencies for the App Check libraries // When NOT using the BoM, you must specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug:18.0.0") }
ในบิลด์แก้ไขข้อบกพร่อง ให้กําหนดค่า App Check ให้ใช้ฟีเจอร์นี้โดยกำหนดค่าดังนี้
Kotlin+KTX
Firebase.initialize(context = this) Firebase.appCheck.installAppCheckProviderFactory( DebugAppCheckProviderFactory.getInstance(), )
Java
FirebaseApp.initializeApp(/*context=*/ this); FirebaseAppCheck firebaseAppCheck = FirebaseAppCheck.getInstance(); firebaseAppCheck.installAppCheckProviderFactory( DebugAppCheckProviderFactory.getInstance());
เปิดแอปและเรียกใช้บริการแบ็กเอนด์ Firebase ระบบจะบันทึกโทเค็นการแก้ไขข้อบกพร่องในเครื่องเมื่อ SDK พยายามส่งคำขอไปยังแบ็กเอนด์ เช่น
D DebugAppCheckProvider: Enter this debug secret into the allow list in the Firebase Console for your project: 123a4567-b89c-12d3-e456-789012345678
ในส่วน App Check ของคอนโซล Firebase ให้เลือกจัดการโทเค็นแก้ไขข้อบกพร่องจากเมนูรายการเพิ่มเติมของแอป จากนั้นลงทะเบียนโทเค็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่คุณบันทึกไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า
หลังจากลงทะเบียนโทเค็นแล้ว บริการแบ็กเอนด์ของ Firebase จะถือว่าโทเค็นนั้นถูกต้อง
เนื่องจากโทเค็นนี้ทำให้เข้าถึงทรัพยากร Firebase ได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ที่ถูกต้อง คุณจึงต้องรักษาโทเค็นให้เป็นส่วนตัว อย่าคอมมิตลงในที่เก็บข้อมูลสาธารณะ และหากโทเค็นที่ลงทะเบียนถูกบุกรุก ให้เพิกถอนโทเค็นดังกล่าวในคอนโซล Firebase ทันที
ใช้ผู้ให้บริการแก้ไขข้อบกพร่องสําหรับการทดสอบหน่วยในสภาพแวดล้อม CI
หากต้องการใช้ผู้ให้บริการแก้ไขข้อบกพร่องสำหรับการทดสอบหน่วยในสภาพแวดล้อมการผสานรวมต่อเนื่อง (CI) ให้ทำดังนี้
ในส่วน App Check ของคอนโซล Firebase ให้เลือกจัดการโทเค็นการแก้ไขข้อบกพร่องจากเมนูรายการเพิ่มเติมของแอป จากนั้นสร้างโทเค็นแก้ไขข้อบกพร่องใหม่ คุณต้องใช้โทเค็นในขั้นตอนถัดไป
เนื่องจากโทเค็นนี้ทำให้เข้าถึงทรัพยากร Firebase ได้โดยไม่ต้อง ใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง คุณจึงต้องรักษาโทเค็นให้เป็นส่วนตัว อย่าส่งไปยังที่เก็บสาธารณะและหากโทเค็นที่ลงทะเบียนถูกบุกรุก ให้เพิกถอนโทเค็นในคอนโซล Firebase ทันที
เพิ่มโทเค็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่คุณเพิ่งสร้างขึ้นลงในที่เก็บคีย์ที่ปลอดภัยของระบบ CI (เช่น ข้อมูลลับที่เข้ารหัสของ GitHub Actions หรือตัวแปรที่เข้ารหัสของ Travis CI)
หากจำเป็น ให้กำหนดค่าระบบ CI เพื่อให้โทเค็นการแก้ไขข้อบกพร่องพร้อมใช้งานภายในสภาพแวดล้อม CI เป็นตัวแปรสภาพแวดล้อม ตั้งชื่อตัวแปรเป็น
APP_CHECK_DEBUG_TOKEN_FROM_CI
ในไฟล์ Gradle ของโมดูล (ระดับแอป) (โดยทั่วไปจะเป็น
<project>/<app-module>/build.gradle.kts
หรือ<project>/<app-module>/build.gradle
) ให้เพิ่มทรัพยากร Dependency สำหรับไลบรารี App Check สำหรับ Android เราขอแนะนำให้ใช้Firebase Android BoMเพื่อควบคุมการกำหนดเวอร์ชันไลบรารีKotlin+KTX
dependencies { // Import the BoM for the Firebase platform implementation(platform("com.google.firebase:firebase-bom:33.5.1")) // Add the dependency for the App Check library // When using the BoM, you don't specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug") }
การใช้Firebase Android BoMจะทำให้แอปใช้ไลบรารี Firebase Android เวอร์ชันที่เข้ากันได้เสมอ
(ทางเลือก) เพิ่มทรัพยากร Dependency ของไลบรารี Firebase โดยไม่ต้องใช้ BoM
หากเลือกไม่ใช้ Firebase BoM คุณต้องระบุเวอร์ชันไลบรารี Firebase แต่ละเวอร์ชันในบรรทัดทรัพยากร Dependency
โปรดทราบว่าหากคุณใช้ไลบรารี Firebase หลายรายการในแอป เราขอแนะนำให้ใช้ BoM เพื่อจัดการเวอร์ชันไลบรารีซึ่งจะดูแลให้ทุกเวอร์ชันทำงานร่วมกันได้
dependencies { // Add the dependency for the App Check library // When NOT using the BoM, you must specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug:18.0.0") }
Java
dependencies { // Import the BoM for the Firebase platform implementation(platform("com.google.firebase:firebase-bom:33.5.1")) // Add the dependency for the App Check library // When using the BoM, you don't specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug") }
การใช้Firebase Android BoMจะทำให้แอปใช้ไลบรารี Firebase Android เวอร์ชันที่เข้ากันได้เสมอ
(ทางเลือก) เพิ่มทรัพยากร Dependency ของไลบรารี Firebase โดยไม่ต้องใช้ BoM
หากเลือกไม่ใช้ Firebase BoM คุณต้องระบุเวอร์ชันไลบรารี Firebase แต่ละเวอร์ชันในบรรทัดทรัพยากร Dependency
โปรดทราบว่าหากคุณใช้ไลบรารี Firebase หลายรายการในแอป เราขอแนะนําอย่างยิ่งให้ใช้ BoM เพื่อจัดการเวอร์ชันของไลบรารี ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าทุกเวอร์ชันจะใช้งานร่วมกันได้
dependencies { // Add the dependency for the App Check library // When NOT using the BoM, you must specify versions in Firebase library dependencies implementation("com.google.firebase:firebase-appcheck-debug:18.0.0") }
เพิ่มข้อมูลต่อไปนี้ลงในการกำหนดค่าตัวแปรของบิวด์ CI
testInstrumentationRunnerArguments["firebaseAppCheckDebugSecret"] = System.getenv("APP_CHECK_DEBUG_TOKEN_FROM_CI") ?: ""
ในคลาสทดสอบ ให้ใช้
DebugAppCheckTestHelper
เพื่อรวมโค้ดที่ต้องใช้โทเค็น App Check ดังนี้Kotlin+KTX
@RunWith(AndroidJunit4::class) class MyTests { private val debugAppCheckTestHelper = DebugAppCheckTestHelper.fromInstrumentationArgs() @Test fun testWithDefaultApp() { debugAppCheckTestHelper.withDebugProvider { // Test code that requires a debug AppCheckToken. } } @Test fun testWithNonDefaultApp() { debugAppCheckTestHelper.withDebugProvider( FirebaseApp.getInstance("nonDefaultApp") ) { // Test code that requires a debug AppCheckToken. } } }
Java
@RunWith(AndroidJunit4.class) public class YourTests { private final DebugAppCheckTestHelper debugAppCheckTestHelper = DebugAppCheckTestHelper.fromInstrumentationArgs(); @Test public void testWithDefaultApp() { debugAppCheckTestHelper.withDebugProvider(() -> { // Test code that requires a debug AppCheckToken. }); } @Test public void testWithNonDefaultApp() { debugAppCheckTestHelper.withDebugProvider( FirebaseApp.getInstance("nonDefaultApp"), () -> { // Test code that requires a debug AppCheckToken. }); } }
เมื่อแอปทำงานในสภาพแวดล้อม CI บริการแบ็กเอนด์ของ Firebase จะยอมรับโทเค็นที่แอปส่งมาว่าถูกต้อง